10 มีนาคม 2556 เวลา 10.30 น. ผมถูกหามส่งโรงพยาบาลวิชัยยุทธ อาการจับไข้หนาวสั่น เนื้อตัวหมดเรี่ยวหมดแรง ทำให้ผมไม่อาจพึ่งยาจากร้านขายยาข้างถนนเพื่อบรรเทาอาการได้ เดิมทีคิดว่ากินยาติดต่อกันซักสี่ห้าครั้ง ดื่มน้ำมาก ๆ นอนเยอะ ๆ มันก็น่าจะหาย แต่จนแล้วจนรอด มันก็ไม่อาจจะต้านทานเชื้อไวรัสที่เข้ามาแผ่ซ่านในกระแสเลือดได้ ไปถึงโรงพยาบาล คุณหมอได้ฟังอาการก็พอเดาออกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่จะเป็นสายพันธุ์ไหน ต้องตรวจละเอียดดูอีกครั้ง ซึ่งหลังจากเจาะเลือด ไชโพรงจมูก เอกซเรย์ปอด …ผลก็สรุปได้ว่า ผมเป็นไข้หวัดใหญ่ 2010 สายพันธุ์ล่าสุดที่พัฒนามาจากไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่เมื่อไม่กี่ปีมานี้เป็นที่ฮือฮา วิ่งหายาที่ชื่อ Tamiflu กันจนแทบขาดตลาด
วันนี้ ผมคงไม่ได้มาคุยเรื่องส่วนตัวว่าด้วยอาการป่วยให้ฟัง แต่สิ่งที่อยากจะพูดถึงก็คือเรื่องสุขภาพพลานามัยของคนเป็นตำรวจ ตำรวจน้อยใหญ่หลาย ๆ คนมองเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องไกลตัว ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บังคับบัญชาตำรวจ ก็มักทำตัวเป็นตัวอย่างในเรื่องการ “ทุ่มเททำงาน” จนไม่ได้ใส่ใจสุขภาพตัวเอง บางคนบ่นว่าไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ไม่มีเวลาออกกำลังกาย เพราะต้องคร่ำเคร่งกับการทำงาน….ฟังดูถ้าไม่คิดมากก็ดูดีครับ แต่ถ้าลองคิดเยอะ ๆ ระหว่างคิดก็ลองเปิดเพลงของน้องทาทายัง สมัยยังผอมเพรียวเมื่อซักเกือบ 20 ปีที่แล้ว ที่เธอร้องว่า “….ก็เธอไม่รักตัวเอง ไม่เคยดูแลแม้ตัวเอง แล้วเธอจะรักฉันยังไง….” น่านซิครับ ผมเห็นด้วยกับน้องทาทา เธอทุกประการ ตัวเองยังไม่รัก ครอบครัวยังบอกว่าไม่มีเวลา แต่อาสาว่าจะดูแลประชาชน…ผมว่ามันออกจะ Drama ไปหน่อยกระมังครับ
ตำรวจเป็นอาชีพที่ต้องใช้ทั้งสติปัญญา และพละกำลัง ดังนั้น ถ้าสติปัญญาไม่ดี ไม่เคยรู้โลก ไม่เคยมีความรู้รอบตัวและไม่หมั่นหาความรู้ การจะไปรู้เท่าทันโจรหน่ะ มันคงเป็นไปได้ยาก แล้วยิ่งโจรทุกวันนี้ หาใช่ “โจรกระจอก” ที่ไหน โจรส่วนหนึ่งก็เรา ๆ ท่าน ๆ ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ บางคนเป็นนักเทคนิคคอมพิวเตอร์ แต่ตำรวจไทยบางคนปากก็พร่ำบ่นว่าต้องใช้เทคโนโลยีในการทำงาน แต่ลองให้เปิดเคร่ื่องคอมพิวเตอร์ทำงานซิครับ ดูเหมือนมือไม้ขาแข้งจะสั่นไปหมด….ไม่ต้องถึงกับเป็นผู้ชำนาญการหรอกครับ เอาแค่ว่า หากลูกน้องป่วย ลูกน้องลา ก็พอจะมาขยับเมาส์ส่ายไปส่ายมาทำงานได้บ้างก็โอเคแล้ว
ส่วนเรื่องกำลังกายหน่ะเหรอครับ ไม่ต้องอะไรมาก เอาแค่ออกกำลังกายตามหลักการหนังสือสุขศึกษาชั้นประถม 4 ของลูก ไม่ต้องรูปหล่อกล้ามใหญ่ แค่นี้ก็นับว่าเป็นบุญกุศลแล้วหล่ะครับ …เรื่องการออกกำลังกายนี้ ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึงความเอาจริงเอาจัง และการเป็นคนที่มีหลักการเข้มแข็ง เป็นคนมีวินัย ในเรื่องการออกกำลังกายอย่างมาก นั่นก็คือท่านอดีตผบ.ตร. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ครับ ทุกวันหลังจากห้าโมงเย็น หากท่านไม่ติดภารกิจที่ไหน ท่านจะเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนำลูกน้องวิ่งรอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทุกวัน เรียกได้ว่าท่านทำกันเป็น รปจ. (ระเบียบปฏิบัติประจำ) กันเลย เสร็จแล้วท่านก็อาบน้ำอาบท่า มานั่งทำงานต่อ …อย่างงี้แหละครับ ผมว่าท่านทำหน้าที่ต่อตนเองได้ครับถ้วน (พ้นฤดูเลือกตั้งผู้ว่ากทม.แล้วนะครับ…ผมไม่ได้เชียร์ท่านเป็นพิเศษ อิอิ)
ผมว่าบางที ตำรวจคงต้องหันหน้ามาพูดความจริงกันบ้าง ตำรวจก็ “มนุษย์” คนหนึ่งครับ ไม่ใช่ผู้วิเศษที่มีสติปัญญา พละกำลังเหนือคนอื่น ตำรวจก็เป็นคนที่ต้องมีครอบครัว ต้องพัฒนาตัวเอง เพราะฉะนั้น คำว่า “ตำรวจเก่ง” ผมว่าน่าจะเป็นคนที่จัดสรรเวลาระหว่าง เวลางาน เวลาส่วนตัว เวลาครอบครัว ได้อย่างเหมาะสม สามส่วนนี้ต้องไปด้วยกันครับ เพราะถ้าทำงานเก่งเหลือหลาย แต่ไม่มีเวลาอบรมให้คนในครอบครัวเป็นคนดี ยิ่งไปกว่านั้นคนในครอบครัวก็กลับไปสร้างปัญหาให้สังคมซะอีก ซึ่งละครฉากนี้ หาดูได้ไม่ยากตามแฟลตตำรวจทั่วไป ที่เกือบจะร้อยละร้อย อุดมไปด้วยลูกตำรวจเกเร เมียตำรวจติดการพนัน ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เท่ากับว่าตำรวจกำลังเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับสังคมซะเอง
ส่วนตัวตำรวจเอง หากไม่ดูแลร่างกายตัวเอง ไม่กินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ออกกำลังกาย กำลังวังชาไม่มี อ้างว่าทุ่มเทกับการทำงาน ถามว่าเวลาวิ่งไล่จับผู้ร้าย จะมีปัญญาย้ายพุงอ้วน ๆ ว่ิงไล่ตามผู้ร้ายได้ยังไงครับ หนักไปกว่านั้นถ้าทิ้งขว้างร่างกายให้อุดมไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ก็ต้องเดือดร้อนเงินภาษีของประชาชน ที่ต้องมาจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลให้พวกเราอีก
การเจ็บป่วยของผมครั้งนี้ ทำให้ผมได้คิดอะไรอีกเยอะ ทั้ง ๆ ที่ปกติผมเป็นประเภท “เด็กอนามัย” อยู่แล้ว หายป่วยครั้งนี้ ผมคงต้องเพิ่มมาตรการ เพิ่มความเคร่งครัดในการดูแลตัวเองขึ้นไปอีก….เวลาป่วยต้องนอนโรงพยาบาล แล้วมีคุณแม่ ซึ่งวัยกว่า 70 แล้วมานั่งเฝ้านอนเฝ้า ทั้ง ๆ ที่ตลอดเวลาผมไม่เคยเห็นคุณแม่ผมไปนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลแล้วผมต้องไปนอนเฝ้าเลย หรือแม้กระทั่งลูกและภรรยาที่บ้าน ที่ต้องมาเดือดร้อน เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงินทองที่น่่าจะเอาไว้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน กลับเป็นต้องเอามาดูแลคนป่วย….ภาพอย่างนี้ เห็นแล้ว “อาย” ครับ
เพราะฉะนั้น ด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่….ผมขอสัญญาว่า หายป่วยครั้งนี้ ผมจะดูแลร่างกาย ดูแลสังขารที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด ไม่ให้เป็นภาระกับใคร และสามารถทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมได้ต่อไป….ครับพ้ม !
โอน่าสงสารจริงๆ ด้วยค่ะ รักษาตัวเองให้หายนะค่ะไม่ต้องห่วงประชาชน ให้ห่วงตัวเองให้มากๆ สงสารคุุณแม่ต้องมานั่งเฝ้าลูกชาย แต่ท่านยังโชคดีนะค่ะ ที่ยังมีทั้งภรรยาและลูก และคุณแม่ แต่บางคนป่วยไม่มีใครดูแลเลยน่าเห็นใจ ใช่จริงอย่างที่ท่านพูดนั่นแหละคะ ลูกตำรวจทำไมต้องติดยาเสพติดเยอะมากและขายเองด้วย ส่วนภรรยาก็ติดการพนันเป็นส่วนใหญ่เพราะอะไรค่ะ นั่นเพราะว่าบางคนก็ทุ่มเทกับงานมากเกินไปไม่มีเวลาให้ครอบครัวจึงเป็นช่องว่างระหว่างครอบครัวภรรยาเหงาสามีเข้าเวรบ่อยหรือบางทีก็อ้างภรรยาว่าไปเข้าเวรแต่จริงๆ แล้ว เขาไปนอนบ้านภรรยาอีกคนหนึ่งซึ่งมันก็กลายเป็นความช้ำใจและหาทางออกให้กับตัวเอง และในขณะหนึ่งก็ประชดสามีแต่ลืมคิดไปว่าหน้าที่ภรรยาที่ดีต้องคอยให้กำลังใจสามีและดูแลลูกให้ดีที่สุด เพราะหน้าที่ของตำรวจก็เรียกได้ว่าน่าเห็นใจเพราะเมื่อก้าวท้าวออกจากบ้านก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับเข้ามาบ้านอีกหรือเปล่า เพราะไม่รู้ว่าวันนั้นจะต้องผจญกับอะไรบ้าง มันก็มีอันตรายรออยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ถ้าไม่มีเหตุอะไรก็ดีไป แต่ถ้ามีแล้วก็ไม่รู้ว่าจะปลอดภัยกลับมาหาครอบครัวหรือเปล่า บางคนพอสามีออกจากบ้านด้วยความโกรธที่สามีไปมีคนอื่นหรือว่าสามีไม่ได้อย่างใจก็แช่งสามีว่าให้มันตายไปเลยด้วยความโมโห แต่เขาลืมหรือเปล่าว่าเมื่อแช่งไปแล้วถ้าสามีไม่ได้กลับมาจริงๆ เขาจะต้องขาดผู้นำครอบครัวไปหนึ่งคน ทางที่ดีก็ให้เห็นใจซึ่งกันและกันให้มากๆ สามีก็หาเวลาให้กับครอบครัวบ้าง ภรรยาก็หันมาดูแลเอาใจใส่สามีบ้างไม่ใช่จับกลุ่มนินทาสามีให้เพื่อนบ้านฟัง มันดูแล้วทำให้ครอบครัวไม่อบอุ่น หาเวลาไปพักผ่อนตามประสาครอบครัวบ้างเดือนละครั้งก็ยังดี หากวันหนึ่งเราไม่มีกันและกันแล้วเราจะเสียใจไปตลอดชีวิตและไม่สามารถเรียกกลับคืนมาให้เหมือนเดิมอีกแล้ว ใหม่ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ ให้หายเร็วๆ และกลับมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกน้องและประชาชน สู้ๆ นะคะท่านรองฯ แรก
หายไว ค่ะีพี่
Get well soon ค่ะ
อ่านแล้ว ซึ้ง ซึม ๆ เลย อ่ะ ! Komson/ AEC 1